วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ภาษี กับ AEC บทวิเคราะห์ปัญหาภาษีด้านต่างๆกับการก้...
ภาษี บัญชี กับโปรซอฟท์การบัญชี: ภาษี กับ AEC บทวิเคราะห์ปัญหาภาษีด้านต่างๆกับการก้...: ++++++++++++++++++++++ ภาษี กับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน : ดำริ ดวงนภา (Tax Auditor) บท...
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ภาษีกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC ภาค 2
เมื่อวิเคราะห์โครงสร้างภาษีไทยในปัจจุบัน
จะพบปัญหาภาษีที่มีอยู่ รวมถึงปัญหา ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมื่อเปิดเสรี AEC ประเด็นปัญหาภาษี
ที่ควรต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เพื่อลดอุปสรรค
และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันต่อการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กล่าวคือ
ปัญหาภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
1. ภาษีเงินได้ของไทยไม่ใช่แหล่งรายได้หลัก
มีสัดส่วนในการจัดเก็บภาษี ประมาณ 25 % และมีฐานภาษีที่แคบ
จากข้อมูลสถิติของกรมสรรพากรในปี ภาษี 2553
พบว่าประชากรทั้งประเทศ
64 ล้านคน
มีประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานจำนวน 38 ล้านคน แต่ มีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้ 9 ล้านแบบ
และมีเพียง 2.3 ล้านแบบ
เท่านั้นที่มีภาษีชำระ ดังนั้น เมื่อ AEC เกิดขึ้นมีแนวโน้มที่ฐานภาษีจะแคบลง
และอัตราภาษีที่จะลดลงเนื่องจากการแข่งขันทำให้จำนวนสัดส่วภาษีเงินได้จะลดลงไปอีก
2. อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดของไทยลดลงจาก
37% มาอยู่ที่
35 % ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศ
ในกลุ่ม AEC (ดูตารางที่
2 ) ดังนั้นเมื่อเปิดเสรีอาเซียน จึงไม่จูงใจ ที่จะดึงดูดนักลงทุน
หรือแรงงานมีฝีมือที่มีศักยภาพ เข้ามาอยู่ ทำงาน
และเสียภาษีในประเทศไทยในทางกลับกัน
จะมีแรงงานฝีมือที่มีรายได้สูงของไทยย้ายไปทำงานในประเทศอื่นที่ภาษีต่ำกว่า
3.โครงสร้างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กฎหมายมีการให้หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
จำนวนมากที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่สอดคล้อง กับค่าครองชีพพื้นฐาน เช่น
ผู้มีเงินได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง ไม่ว่าจะมีเงินได้ในปีภาษีจำนวนมากน้อยเท่าใด
กฎหมายยอมให้หักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 40%
แต่ต้องไม่เกิน
60,000
บาท
จึงเป็นการไม่ยุติธรรม และสอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจ
ถึงแม้กฎหมายอาจจะมีการให้หักลดหย่อน หรือค่า ยกเว้นต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อชดเชย
แต่ก็ยังถือว่าไม่เหมาะสม และมีผลทำให้บิดเบือนกลไกการทำงานของภาษีเงินได้
ซึ่งเป็นภาษีทางตรง ในการทำหน้าที่กระจายรายได้ที่เป็นธรรมด้วย ส่วนค่าลดหย่อนก็มีจำนวนมาก
และรายการเงินได้ที่ยกเว้น ก็มีจำนวนกว่า 100 รายการ
ทำให้ฐานภาษีแคบ และสึกกร่อน ซับซ้อน
ทำให้ยุ่งยากมากในทางปฏิบัติในการเสียภาษีเงินได้ ถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างมาก เมื่อเปิด AEC
แนวทางแก้ไข : ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่าย
และค่าลดหย่อนให้เหมาะสม กับมาตรฐานการครองครองชีพ และให้มีความยืดหยุ่น
สอดคล้องกับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้ภาษีเงินได้
ที่เป็นภาษีทางตรงทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ตามหลักภาษีที่ดี ยกเลิก
ค่าลดหย่อนเฉพาะกิจต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับหลักความสามารถและหลักผลประโยชน์
ในการเสียภาษี
ที่ทำให้เพิ่มความเหลื่อมล้ำ ในการกระจายรายได้
พิจารณายกเลิกรายการยกเว้นเงินได้
อาจคงมีไว้ได้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
-โปรดติดตามตอนต่อไป-
![]() |
"หน้าต่างแห่งความรู้ ประตูสู่ความสำเร็จ" |
All Rights Reserved KASME Co.,Ltd. 32/9 M.3 T.Nurnpra A.Muang Rayong 21000
บริษัท คัสเม่ จำกัด 32/9 ม.3 ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง 21000
บริษัท คัสเม่ จำกัด 32/9 ม.3 ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง 21000
ขอสงวนสิทธิ์ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข ก่อนได้รับอนุญาต
facebook: facebook.com/kasme.thai We are HERE
วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ภาษีกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC
ภาษี
กับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ดำริ ดวงนภา (Tax Auditor)
บทความ
นี้
มีวัตถุประสงค์ ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงผลกระทบทางภาษีอากร เศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุน จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(Asian Economic Community : AEC)
ซึ่งประเทศสมาขิก ได้ลงนามในปฏิญญาตกลง ให้เป็นประชาคมเดียวกัน
โดยมีผลในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 นี้ ผลจากการเปิดเสรี มีประเด็นที่ผู้ประกอบการไทย ควรต้องเตรียมพร้อม
เพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และเตรียมตัว ให้แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
ในขณะที่รัฐบาลก็จำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษีให้เหมาะสมและทันสมัย ซึ่งได้วิเคราะห์ปัญหา และแนวทางแก้ไขไว้
ในส่วนท้ายของบทความ
กล่าวได้ว่า
การลดอัตราการจัดเก็บ ภาษีเงินได้นิติบุคคลของรัฐบาลไทยที่ผ่านมา(เป็นการลดชั่วคราว)
จากอัตรา 30
% ให้เหลือ 23 % ในปีภาษี 2555 และ เหลือ 20 % ในปีภาษี 2556-2557-2558 นับเป็น มาตรการทางการคลัง มาตรการหนึ่ง
ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มแรงจูงใจการลงทุน
จากนักลงทุนต่างประเทศ
ถือเป็นนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลในการเตรียมความพร้อมในการรับมือ ก่อนการเปิดเสรี AEC ในสิ้นปี 2558 ที่จะถึงนี้
โดยที่ เป้าหมายของ AEC มีความต้องการให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน เป็นตลาดเดียว และ เป็นฐานการผลิตเดียว(Single
Market & Single Production) ทั้งนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลก วิธีการก็คือ ให้แต่ละประเทศ ( 10
ประเทศ) * ในกลุ่มประชาคมอาเซียน
มีการเปิดเสรีด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และแรงงาน
ให้มีการย้ายปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ได้โดยเสรี
กระแสของการเปิดเสรี หรือ กระแสโลกาภิวัฒน์ ของการเคลื่อนย้ายทุน แรงงาน
การค้าเสรี เช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อ โครงสร้างรายได้ภาษี ของแต่ละประเทศ จากการศึกษาผลกระทบของ AEC ต่อโครงสร้างการจัดเก็บภาษี ของนักวิชาการภาษีอากร พบว่า เมื่อเปิดเสรี AEC จะทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้
ของแต่ละประเทศจะมีข้อจำกัดมากขึ้น
การกำหนดนโยบายภาษีไม่อาจกำหนดได้โดยเพียงการพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานภายในประเทศของตนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
แต่ทุกประเทศ จำเป็นต้องพิจารณาทุกประเภทภาษีของตนเอง
เปรียบเทียบกับภาษีของประเทศต่าง ๆ ในกลุ่ม AEC เพื่อการกำหนดนโยบายภาษีที่เหมาะสมและสอดคล้อง
ต่อการแข่งขัน เช่น (ตารางที่ : 1)
จากตารางที่ 1 จะพบว่า ทิศทางอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มลดลง
และเมื่อเปิดเสรี AEC การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
ก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ละประเทศก็อาจจะมีการปรับลดอัตราภาษีลงได้อีก
หรือ ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอื่น ๆ
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
ดังกรณี ที่ไทยได้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงจากเดิม 30%เป็น
23% ในปี 2555 และ 20% ในปี 2556 นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในการปรับปรุงเพื่อลดอุปสรรคและเพิ่มโอกาส
ในการแข่งขัน เพราะเมื่อพิจารณา จากตาราง 1 อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเดิมของไทย
เป็นอัตราที่สูง และใช้มาเป็นเวลานาน โดยไม่มีการปรับลดลง เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนาม
มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่มีขนาดเศรษฐกิจและศักยภาพ ใกล้เคียงกับประเทศไทย
ดังนั้นผลจากการเปิดเสรี AEC จึงทำให้ประเทศไทยไม่สามารถ คงอัตราภาษีในอัตราเดิมนี้ไว้ได้
เนื่องจากไม่สามารถที่จะแข่งขันได้
ดังได้กล่าวในเบื้องต้นว่า การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีผลกระทบทางตรง
ต่อโครงสร้างการจัดเก็บภาษี ของไทย ในหลายๆ ด้านด้วยกัน
โครงสร้างการจัดเก็บภาษีในที่นี้ หมายความรวมถึง กฎหมายภาษี ประเภทภาษี อัตราภาษี
และนโยบายการบริหารการจัดเก็บภาษี เช่นเมื่อเปิดเสรี AEC
ภาษีเงินได้มีแนวโน้มจะจัดเก็บได้ยากขึ้น
และจำนวนเงินภาษีมีทิศทางลดลง เนื่องจากฐานภาษีเงินได้มีการเคลื่อนย้ายกันง่ายขึ้น และ มีการแข่งขันเพื่อจูงใจในการลงทุน โดยการลดอัตราภาษีลง ตัวอย่างเช่น กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล ของประเทศ
A สูงกว่าภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศ
B นักลงทุนในประเทศ A ก็พร้อมที่ย้ายทุนและ
สถานประกอบการ จากประเทศ A ไปอยู่ที่ประเทศ B ได้ทันที ในทำนองเดียวกัน กรณีที่
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศ C เก็บภาษีในอัตราที่สูงมาก
เมื่อเทียบกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศ D ปรากฏการ สมองไหล (Brain Drain) ของแรงงานที่มีฝีมือ(Skilled
Labor) * ก็จะเกิดขึ้น
ได้แก่ แรงงานใน 7 สาขาวิชาชีพภายใต้ข้อตกลงการยอมรับร่วม(Mutual
Recognition Agreement- MRA) คือ จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือจากประเทศ C
ไปอยู่และทำงานที่ประเทศ D เหลืออยู่ในประเทศในส่วนของแรงงานไม่มีฝีมือ
ที่มีข้อจำกัดในการโยกย้ายเท่านั้น
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
www.kasmethai.com
www.facebook.com/kasmeco
www.facebook.com/kasme.thai
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ข้อแนะนำการหักค่าเสื่อมและอัตราที่ใช้ในการคำนวณ
ข้อแนะนำการหักค่าเสื่อมและอัตราที่ใช้ในการคำนวณ
อ้างอิงจาก: กรมสรรพากร และพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527
ค่าเสื่อมราคาคืออะไร ?
ค่าเสื่อมราคา = "ค่าใช้จ่าย"ที่เกิดจากการคำนวณจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่ซื้อมาใช้ในกิจการ และนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายประจำงวด
การนำค่าเสื่อมราคามาหักเป็นค่าใช้จ่ายในทางบัญชีภาษีอากร มีวิธีปฏิบัติไม่ตรงกับการหักค่าใช้จ่ายในทางบัญชีมาตรฐานทั่วไป จึงมักทำให้เกิดความผิดพลาดหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการคำนวณค่าใช้จ่าย เพื่อคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีเสมอ
ข้อแนะนำในการหักค่าเสื่อมราคา
ควรแยกประเภททรัพย์สินที่จะนำมาหักค่าเสื่อมราคาได้
และประเภทที่หักค่าเสื่อมราคาไม่ได้ ออกจากกัน
เพื่อประโยชน์ในการนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิ
ทรัพย์สินที่สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้
ทรัพย์สินถาวรทั่วไปที่โดยสภาพของทรัพย์สินอาจเสื่อมราคาได้
ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะมีรูปร่างตัวตนหรือไม่
>>อาคาร อาคารถาวร
อาคารชั่วคราว
>>ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สูญสิ้นไปได้
>>ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช่า
เช่น เงินกินเปล่า เงินช่วยค่าก่อสร้างค่าแห่งอาคาร
หรือโรงเรือนที่ได้โอนเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินเมื่อสร้างเสร็จ
ซึ่งตอบแทนสิทธิการเช่าอันมีระยะเวลา
>>ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิในกรรมวิธี
สูตร กู๊ดวิลล์ เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร สิทธิประกอบกิจการตามใบอนุญาต
ลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น
>>ทรัพย์สินอย่างอื่น
เช่น รถยนต์ เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องตกแต่งสำนักงาน
เป็นต้น
ทรัพย์สินที่ไม่สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้
ทรัพย์สินถาวรทั่วไปที่โดยสภาพของทรัพย์ไม่อาจเสื่อมราคาได้ เช่น
>>ที่ดิน
>>เพชร พลอย อัญมณี
แร่ธาตุ
>>ทรัพย์สินถาวร
“ที่ยังไม่พร้อมจะใช้งาน” เช่น อาคารระหว่างก่อสร้าง เครื่องจักรระหว่างติดตั้ง
อัตราหักต่างกัน ควรแยกออกจากกัน
ควรแยกประเภททรัพย์สินที่สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ในอัตราที่แตกต่างกันออกจากกัน
>>อาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆในอาคาร
เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เครื่องปรับอากาศ = กฏหมายกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาได้ร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน
>>ตัวอาคาร = หักค่าเสื่อมราคาในอัตราต่ำเพียงไม่เกินร้อยละ
5 ของมูลค่าต้นทุน
เลือกวิธีในการหักค่าเสื่อมราคา
เลือกใช้วิธีการทางบัญชี เพื่อการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา ให้ได้สอดคล้อง
กับสภาพการใช้ทรัพย์สินและอำนวยประโยชน์แก่กิจการได้สูงสุด
บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
อาจเลือกใช้วิธีการทางบัญชีในการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน
ตามวิธีใดก็ได้ แต่เมื่อเลือกใช้วิธีการและอัตราที่จะหักวิธีใดแล้ว
ต้องใช้วิธีการและอัตรานั้นตลอดไป
จะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร
หรือผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมาย และ ในกรณีที่ได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงได้
ก็ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัตินั้น
สำหรับทรัพย์สินประเภทและชนิดเดียวกันที่กิจการได้มาใหม่
จะเลือกวิธีการและอัตราให้แตกต่างไปจากที่เคยใช้อยู่เดิม ก็สามารถทำได้
โดยไม่ต้องยื่นคำขอต่ออธิบดีกรมสรรพากรแต่อย่างใด (แต่ควรเปิดเผยไว้ในงบการเงิน)
อัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน
การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน
คำนวณหักตามระยะเวลาที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
ในกรณีที่รอบระยะเวลาใดไม่เต็ม 12 เดือน ให้เฉลี่ยตามส่วนสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ทั้งนี้
ไม่เกินอัตราร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาโดยใช้วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป
ซึ่งมีอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาไม่เท่ากันในแต่ละปีระหว่างอายุการใช้ทรัพย์สิน
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นจะหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามวิธีนั้นในบางปีเกินอัตราที่กำหนดข้างต้นก็ได้
แต่จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินเพื่อการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาต้องไม่น้อยกว่า
100 หารด้วยจำนวนร้อยละที่กำหนดข้างต้น
(ดูคำสั่งกรมสรรพากรที่
ป.3/2527)
“การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินอย่างอื่นตามความในวรรคหนึ่ง (5) ซึ่งมิใช่รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคนหรือรถยนต์นั่ง
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะใช้วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป
ซึ่งมีอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในปีแรกเป็นสองเท่าของอัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง
และสำหรับปีถัดไปให้หักตามอัตราสองเท่าดังกล่าวโดยคำนวณจากมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลือในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีก็ได้
แต่จำนวนปีอายุการใช้ของทรัพย์สินเพื่อการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาต้องไม่น้อยกว่า
100 หารด้วยจำนวนร้อยละที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ในรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายของอายุการใช้ของทรัพย์สินดังกล่าว
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาโดยรวมจำนวนมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมดด้วยก็ได้”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา
(ฉบับที่359) พ.ศ. 2542 ใช้บังคับ 23 ตุลาคม 2542
เป็นต้นไป โดยมิให้ใช้บังคับสำหรับทรัพย์สินที่ได้มาก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ)
ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับ พระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527
ได้ทาง http://www.rd.go.th/publish/2369.0.html
สถาบันคัสเม่ "หน้าต่างแห่งความรู้ ประตูสู่ความสำเร็จ"
www.kasmethai.com สถาบันฝึกอบรมแห่งแรกในจังหวัดระยอง
FB: facebook/kasmeco
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)