วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปลอดอากร on the EAST

รัฐบาลได้กำหนดให้ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)เป็นแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการพัฒนาพื้นที่ที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ Eastern Seaboard และมีมาตรการพิธีการศุลกากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และพิธีการศุลกากรสำหรับเขตปลอดอากรภายในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการที่เกี่ยวกับกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ดังนี้ 1.ต้องเป็นเขตปลอดอากร >> ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรภายในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ >> สำหรับกิจการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ >> เฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเท่านั้น 2.ผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากรดังกล่าว เมื่อได้ยื่นใบขนส่งสินค้าต่อพนักงานศุลกากร และพนักงานศุลกากรได้รับและออกเลขที่ใบขนส่งสินค้าให้แล้ว #ไม่ต้องชำระค่าอากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร #จนกว่าจะครบ 14 วันนับแต่วันที่พนักงานศุลกากรออกเลขที่ใบขนสินค้าดังกล่าว 3.กรณีที่ส่งของกลับเข้าไปในเขตปลอดอากรตามกฏหมายว่าด้วยศุลกากร [ข้อ 1] ภายใน 14 วันนับแต่วันที่ยื่นใบขนสินค้าต่อพนักงานศุลกากร และพนักงานศุลกากรได้รับและออกเลขที่ใบขนส่งสินค้าให้แล้ว #ผู้ประกอบกิจการอาจยื่นขอยกเลิกรายการดังกล่าวในใบขนสินค้าขาเข้านั้นได้ และเมื่อพนักงานศุลกากรมีคำสั่งยกเลิกแล้ว #ให้ถือว่ามิได้มีการนำของรายการดังกล่าวออกจากเขตปลอดอากรตามข้อ 1 และไม่มีภาระค่าอากร ที่มา: กรมสรรพากร
KASME X www.kasmethai.com


วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

วิธีดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับการยื่นงบการเงินผ่านระบบ e-Filing DBD-XBRL V.2 ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ประกาศล่าสุดจากกรมพัฒน์
ปีหน้าฟ้าใหม่ สำนักงานบัญชีไหนยังไม่ได้อัพเดตเวอร์ชั่นเอ็กเซลยื่นงบการเงินผ่านระบบ e-Filing หรือ DBD-XBRL ของกรมพัฒน์ ปีหน้าจะใช้ระบบ DBD-XBRL V.2 เท่านั้นนะ
พร้อมแล้ว ไปติดตามวิธีดาวน์โหลดเก็บลงเครื่องได้เลย

สถาบันฝึกอบรมทางภาษี บัญชี การเงินและการลงทุน
ระยอง|ชลบุรี|กรุงเทพ
สมัครสมาชิกสถาบันฟรีได้ที่นี่ เพื่อติดตามสิทธิพิเศษต่างๆตลอดปี 2563 CLICK

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ขายอาหารได้เท่าไหร่ จะต้องเสียภาษี?

วันนี้ สถาบันคัสเม่ จะพาทุกท่านมาคำนวณหา "ยอดขาย" ที่เข้าข่ายเตรียมจ่ายภาษี

ทั้งนี้ สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจก่อน ก็คือ

เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เรามี เงินได้สุทธิ จากการขายอาหารต่ำกว่า 150,000 บาท ต่อปี ไม่ต้องเสียภาษี
หรืออีกนัยยะหนึ่ง ถ้ามีเงินได้สุทธิ เกินกว่า 150,000 บาทต่อปี ก็ต้องเสียภาษีนั่นเอง!

แล้วเงินได้สุทธิ คำนวณได้อย่างไร

เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน
[เก็บสมการนี้ไว้ในใจ แล้วเดี๋ยวเราจะมาหาค่า "เงินได้พึงประเมิน" หรือ ยอดขายที่ต้องเสียภาษี ย้อนกลับกัน]

สำหรับเงินได้พึงประเมินจากการขายอาหาร ถือว่าเข้าข่ายเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8
ซึ่งกรมสรรพากร อนุญาตให้เลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือ

หักแบบเหมา หรือ หักตามจริง

ซึ่งโดยทั่วไป วิธีคิดอย่างง่ายและยื่นภาษีได้สะดวก ใช้เอกสารไม่มาก คือการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา
โดยกรมสรรพากรกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้ 60% จากรายได้การทำอาหารขาย

ค่าใช้จ่าย = 60% x เงินได้พึงประเมิน

สำหรับค่าลดหย่อน จะขึ้นอยู่ในแต่ละบุคคล  ซึ่งค่าลดหย่อนพื้นฐานก็คือ
ค่าลดหย่อนส่วนตัว = 60,000 บาท
และกรณีมีค่าลดหย่อนอื่นๆ ก็สามารถคำนวณปรับเพิ่มได้

คราวนี้ ลองนำสมการที่ตั้งไว้ในใจ นำตัวเลขที่ไฮไล้ท์มาใส่ และเซ็ตค่า "เงินได้พึงประเมิน" หรือ "ยอดขายที่ต้องเสียภาษี" ให้เป็น X

เงินได้สุทธิ = 150,000
เงินได้พึงประเมิน = X
ค่าใช้จ่าย = 60%
ค่าลดหย่อน = 60,000

[เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน]
150,000 = X - 0.6 - 60,000
X = 525,000 บาท

สรุป ยอดขายจากการขายอาหารเกินกว่า 525,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษีนะจ๊ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ลงทุนศาสตร์


วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

การยกเลิกทะเบียนพาณิชย์เมื่อเปลี่ยนรูปจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล

การยกเลิกทะเบียนพาณิชย์เมื่อเปลี่ยนรูปจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล

กรณีประกอบกิจการในรูปบุคคลธรรมดา+มีการจดทะเบียนพาณิชย์เอาไว้ เมื่อเปลี่ยนเป็นการประกอบกิจการในรูปนิติบุคคล #ตามกฏหมายต้องแจ้งยกเลิกภายใน 30 วัน


เอกสารการขอยกเลิกทะเบียนพาณิชย์
> แบบ ทพ. สามารถ Download แบบพิมพ์ไปใช้ในการจดทะเบียนได้ที่ www.dbd.go.th /ดาวน์แบบฟอร์ม/ทะเบียนพาณิชย
> สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ประกอบพาณิชยกิจ หรือทายาทที่ยื่นคำขอแทน (กรณีมอบอำนาจให้จดทะเบียน)
> ใบทะเบียนพาณิชย์
> สำเนาใบมรณบัตรของผู้ประกอบพาณิชยกิจ (กรณีถึงแก่กรรม)/สำเนาคำสั่งศาล (กรณีวิกลจริต,สาบสูญ)
> สำเนาหลักฐานแสดงความเป็นทายาทของผู้ลงชื่อแทนผู้ประกอบพาณิชยกิจซึ่งถึงแก่กรรม / คำสั่งศาลตั้งผู้จัดการมรดก
> หนังสือมอบอำนาจถ้ามี

สถานที่จดยกเลิกทะเบียนพาณิชย์
> ในเขตกรุงเทพมหานคร
(1) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร สหรับผู้ประกอบพาณิชยกิจที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร
(2) ฝ่ายปกครอง สำนักงานเขตทุกแห่ง สำหรับผู้ประกอบพาณิชยกิจ ที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในท้องที่ของเขตนั้น

> ในภูมิภาค:  เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล หรือเมืองพัทยา สำหรับผู้ประกอบพาณิชยกิจที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในท้องที่เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล หรือเมืองพัทยาแล้วแต่กรณี

ค่าธรรมเนียมในการจดยกเลิกทะเบียนพาณิชย์: 20 บาท

ที่มา: กรมสรรพากร


KASME
The Institute of Effective Training for SMEs,CPA,CPD

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Update Tax News: เอกชนจี้รัฐแก้ปมภาษีนิติบุคคลซ้ำซ้อน ดับฝันลงทุนนอก!!

เอกชนจี้รัฐแก้ปมภาษีนิติบุคคลซ้ำซ้อน ดับฝันลงทุนนอก!!

“ภาษีซ้ำซ้อน”ดับฝันลงทุนนอก สภาอุตฯจี้รัฐออกมาตรการลดหย่อนเพิ่ม

ข่าวจาก: Prachachat.net

เอกชน เผยปมบาทแข็งลงทุนนอกไม่เกิด จี้รัฐแก้ปมภาษีนิติบุคคลซ้ำซ้อน ไม่เอื้อดึงกำไรกลับ พร้อมแนะบีโอไอออกมาตรการลดหย่อนภาษีเสริมอีกชั้น ย้ำโฟกัสตลาดเพื่อนบ้านดีสุดเสี่ยงน้อย ส่วนการลงทุนในประเทศชะลอลากยาวถึงไตรมาส 1 ปี”63 ผลสำเร็จ EEC ยังไม่เร้าใจเท่าคู่แข่ง

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคเอกชนเดือนกันยายน 2562 ลดลงมาอยู่ที่ 92.1 ต่ำสุดในรอบ 12 เดือน เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และเงินบาทแข็งค่า ผู้ประกอบการจึงต้องกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นมากขึ้น แต่ยังมีพบข้อจำกัดหลายด้าน

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการจูงใจเสริมการออกไปลงทุนต่างประเทศ ที่มากเพียงพอ โดยเฉพาะมาตรการด้านภาษี เช่น รัฐควรให้เอกชนสามารถลดหย่อนภาษีได้สำหรับเงินลงทุนที่นำออกไปลงทุนต่างประเทศ แม้เขาจะได้สิทธิประโยชน์จากฝั่งประเทศที่เข้าไปลงทุนแล้วก็ควรได้รับจากฝั่งไทยด้วยเช่นกัน



นอกจากนี้ที่ผ่านมาเอกชนที่ไปขยายการลงทุนในต่างประเทศแล้วต้องการส่งกำไรที่ได้จากการลงทุนกลับเข้ามาประเทศไทยจะต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน (double tax) ทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศที่ออกไปลงทุน และภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยด้วย อีกทั้งแต่ละประเภทธุรกิจยังเสียภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน

ดังนั้น เอกชนหวังจะให้ภาครัฐโดยเฉพาะ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สนับสนุน ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยให้ปรับเงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อมาจูงใจ และกรมสรรพากรยกเว้นการเก็บภาษีจากกำไรที่ส่งกลับเข้ามาในประเทศไทย และสร้างความชัดเจนในกระบวนการเก็บภาษีในแต่ละประเภทธุรกิจด้วย

“การออกไปเปิดตลาดใหม่ เพื่อจะได้มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เอกชนที่กล้าที่จะออกไปค้าขายไปลงทุน ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงไปด้วย และประเทศที่เหมาะสมขั้นแรกเขาควรเริ่มที่แถบเพื่อนบ้านเราก่อน ไม่ต้องออกไปไกล เพราะเพื่อนบ้านคือตลาดที่ไม่ยาก มีความใกล้เคียงกันกับไทย จะทำให้เขากล้ามากขึ้น”

นายมนตรีกล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนของเอกชนว่า ขณะนี้ยังคงมองเช่นเดิมว่าจะเห็นเม็ดเงินการลงทุนจริงในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 เพราะนักลงทุนยังประเมินการลงทุนและนโยบายจากภาครัฐ ขณะที่การแข่งขันที่ไทยใช้ EEC มาเป็นตัวชูโรงและจูงใจ เตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ Thailand Plus Package ออกมายังคงไม่หวือหวามากพอที่จะทำให้นักลงทุนตัดสินใจยื่นขอลงทุนได้ทันที

เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ซึ่งมีความได้เปรียบ ทั้งระบบการเมืองแบบสังคมนิยม จึงสามารถสร้างแรงจูงใจจากการออกประกาศกำหนดมาตรการสิทธิประโยชน์การลงทุน เช่น การเช่าที่ดินชัดเจนตั้งแต่ต้น ในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษซึ่งอนุญาตให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี มาเป็นตัวเล่นดึงการลงทุน

“เพราะเขารู้ว่าการที่จะทำอะไร นักลงทุนต้องดูพื้นที่ สิทธิประโยชน์เรื่องที่ดินก่อนที่จะตัดสินใจทำอย่างอื่น ที่เหลือคือสิทธิประโยชน์ที่จะได้ตามมาหลังจากลงทุนไปแล้ว นั่นคือการยกเว้นภาษี และลดหย่อนภาษีแบบที่ไทยกำลังทำ”

รายงานข่าวระบุว่า การสนับสนุนผู้ประกอบการออกไปลงทุนต่างประเทศของ บีโอไอ จะอยู่ภายใต้กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยในแต่ละปีจะมีการจัดอบรมและกิจกรรมให้กับนักลงทุนไทยหน้าใหม่ ภายใต้โปรแกรม TOISC ซึ่งประเทศเป้าหมายและกลุ่มที่มีศักยภาพยังคงเป็น CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) โดยจากสถิติการลงทุนปี 2561 พบว่า ไทยไปลงทุนเวียดนามสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมียนมา 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2560 กัมพูชา 15.75 ล้านเหรียญสหรัฐ และลาว 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ เพื่อขยายขนาดตลาดการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ เพื่อแสวงหาวัตถุดิบและแรงงานที่ถูก เพื่อการกระจายความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพ และค้ำจุนตลาดการเงิน และเพื่อแลกเปลี่ยนความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี



The Institute of Effective Training for SMEs|CPA|CPD

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ลดหย่อนจัดไป เมื่อบริจาคให้งานวิจัย R&D!!

ลดหย่อนจัดไป เมื่อบริจาคให้งานวิจัย R&D!!

กรมสรรพากร ได้ออกพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 668) พ.ศ.2561 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 336) สำหรับการบริจาคเงินเพื่อกิจกรรมการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 4 กองทุนได้แก่
กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา
กองทุนสนับสนุนการวิจัย
กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข

1.บริจาคเป็นเงินเท่านั้น
2.มีหลักฐานในการบริจาค (เว้นแต่บริจาคผ่านระบบ e-Donation) ได้แก่
- ใบเสร็จรับเงิน หรือ
- หลักฐานอื่นเป็นหนังสือ เช่น หนังสือขอบคุณ ใบประกาศเกียรติคุณ
- ระบุจำนวนเงินที่บริจาค


>>สำหรับการบริจาควันที่ 23 พฤศจิกายน 61 - 31 ธันวาคม 62
👉บุคคลธรรมดา: ลดหย่อนได้ 2 เท่า ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
👉นิติบุคคล: ลงรายจ่ายได้ 2 เท่า ไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิ
>>สำหรับการบริจาควันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
👉บุคคลธรรมดา: ลดหย่อนได้ 1 เท่า ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ
👉นิติบุคคล: ลงรายจ่ายได้ 1 เท่า ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ
Resource: กรมสรรพากร 🙏
-----
อย่าลืมติดตามข่าวสารอัพเดตสาระน่ารู้ทางด้านภาษี ได้ทุกวันที่นี่ 🤓 www.kasmethai.com 


วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2562

รายจ่ายใช้ได้คูณ 2 กับมาตรการภาษีพี่ช่วยน้อง !

สวัสดีวันจันทร์🌞 เรามาต้อนรับกับ #รายจ่ายใช้ได้ X2 สำหรับมาตรการภาษีพี่ช่วยน้อง กันค่ะ 🍹🌸

พี่ที่แสนดี🙂 ต้องมีที่อยู่ เมื่อกรมสรรพากร👩‍💼มอบสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีให้ผู้ประกอบการที่ให้ความช่วยเหลือ SMEs #ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่จ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมการดำเนินการ SMEs 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายไป
👉สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62–31 ธ.ค.63
🚩รายละเอียดเพิ่มเติม เรามาดูตรงนี้ได้เลย



KASME
สถาบันฝึกอบรมทางภาษี บัญชี การเงิน
ระยอง|ชลบุรี|กรุงเทพ

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2562

เจาะลึกฉบับเต็มกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

จากการประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2562 โดยจะเริ่มบังคับใช้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2563 นั้น 

ได้เกิดปรากฏการณ์การขยับตัวของแลนด์ลอร์ด และการปรับราคาที่ดินลดลงหลายแห่ง ซึ่งปรากฏการณ์นี้ สามารถย้อนนับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่อยู่ในช่วงวิกฤต "แฮมเบอร์เกอร์" กับปรากฏการณ์ที่ไม่มีการปรับขึ้นของราคาที่ดินจนอยู่ในสภาพแห่งการชะลอตัวทางด้านราคา และการลงทุน 

โดยปัจจัยหนึ่ง ที่เป็นสาเหตุแห่งการชะลอตัวของราคา หรือการพยายามปล่อยที่ดินบางส่วนของเจ้าของที่ดิน/แลนด์ลอร์ดนั้น ส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยที่สืบเนื่องมาจาก "พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" (อ้างอิงจาก Forbes Thailand) ที่ส่งผลในด้าน "ต้นทุน" เพื่อการถือครอง และการพยายามปรับลดราคาเพื่อการขายออก ในส่วนของที่ดินของตน

ในวันนี้ เราจะมาเจาะลึกกับรายละเอียด "ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" วิธีการคำนวณภาษี และสาระสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ฉบับนี้กันค่ะ



นิยาม "กฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" & "ภาษีที่อยู่อาศัย"

กฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
กฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นกฎหมายใหม่ที่มาแทนกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดิน และกฎหมายว่าด้วยภาษีบํารุงท้องที่ โดยกฎหมายฉบับใหม่มีจุดมุ่งหมายในการช่วยลดความเลื่อมล้ำในสังคมและเพิ่มการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะเป็นผู้จัดเก็บภาษีโดยมีรัฐบาลเป็นผู้ดูแล ซึ่งหากมีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้จริง ก็จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับ อปท. เพื่อนำไปใช้พัฒนาท้องถิ่นในด้านสังคมอื่นๆ ต่อไป นอกจากนี้การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังสามารถลดการถือครองที่ดินเพื่อการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

ภาษีที่อยู่อาศัย
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นภาษีประเภทใหม่ที่จะนำมาใช้จัดเก็บแทนภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน โดยรายได้ จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด จะเป็นของ อปท. เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น โดยไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินหรือรายได้ของรัฐบาล

เหตุผลที่ต้องนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้จัดเก็บแทนภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ ?
เนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 เป็นกฎหมายที่ออกมานาน ทำให้การจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่มีปัญหาและข้อจำกัดเกี่ยวกับฐานภาษี อัตราภาษี และการลดหย่อนภาษีที่ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ ปัจจุบัน ทำให้ อปท. มีรายได้ไม่เพียงพอในการพัฒนาท้องถิ่น รัฐบาลจึงต้องจัดสรรงบประมาณเพื่ออุดหนุนเพิ่มเติม

1) ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ใช้ฐานค่ารายปีหรือค่าเช่าต่อปีในการประเมินภาษีจึงซ้ำซ้อนกับการเก็บภาษีเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน การประเมินค่ารายปีขึ้นกับดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการกำหนดค่าเช่าที่สมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง นอกจากนี้ อัตราภาษีก็กำหนดไว้สูงมาก คือ ร้อยละ 12.5 ของค่ารายปีหรือเทียบเท่ากับค่าเช่าเดือนครึ่ง

2) ภาษีบำรุงท้องที่ มี 2 แบบ คือ
(1) ฐานภาษีไม่เป็นปัจจุบัน เนื่องจากใช้ราคาปานกลางของที่ดินซึ่งปกติต้องปรับปรุงทุกรอบ 4 ปี แต่ปัจจุบันยังคงใช้ราคาปานกลางที่ดินเดิมที่ใช้ในการประเมินภาษีปี 2521 – 2524 และยังมีการลดหย่อนเนื้อที่ดินที่นำมาคำนวณภาษีเป็นจำนวนมาก
(2) อัตราภาษีมีการกำหนดตามชั้นของราคาปานกลางที่ดิน ถึง 34 ชั้น และมีลักษณะถดถอย โดยที่ดินที่มีมูลค่าสูงเสียภาษีในอัตราภาษีเฉลี่ยที่ต่ำกว่าที่ดินที่มีมูลค่าต่ำ

ใครบ้างที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง?
1) เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
2) เจ้าของอาคารชุด
3) ผู้ครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นทรัพย์สินของรัฐ

ทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
1) ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
2) ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มิได้ใช้หาผลประโยชน์
3) ทรัพย์สินของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐ หรือในกิจการสาธารณะ โดยมิได้ใช้หาผลประโยชน์
4) ทรัพย์สินที่เป็นที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษขององค์การสหประชาชาติ หรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ที่ประเทศไทยมีข้อผูกพันให้ยกเว้นภาษีตามสนธิสัญญาหรือความตกลง
5) ทรัพย์สินที่เป็นที่ทำการสถานทูตหรือสถานกงสุลของต่างประเทศตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน
6) ทรัพย์สินของสภากาชาดไทย
7) ทรัพย์สินที่เป็นศาสนสมบัติไม่ว่าของศาสนาใด เฉพาะที่มิได้ใช้หาผลประโยชน์
8) ทรัพย์สินที่ใช้เป็นสุสานสาธารณะหรือฌาปนสถานสาธารณะ โดยมิได้รับประโยชน์ตอบแทน
9) ทรัพย์สินที่เป็นของมูลนิธิหรือองค์การที่ประกอบกิจการสาธารณะ ทั้งนี้ เฉพาะที่มิได้ใช้หาผลประโยชน์
10) ทรัพย์สินของเอกชนเฉพาะส่วนที่ได้ยินยอมให้ทางราชการจัดให้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือทรัพย์สินของเอกชนที่ได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยเจ้าของทรัพย์สินนั้นมิได้ใช้ หรือหาผลประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น
11) ทรัพย์ส่วนกลางตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด และที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคตามกฎหมาย ว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
12) ทรัพย์สินตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

วิธีการคำนวณภาระภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปี
ฐานภาษีของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คือ มูลค่าทั้งหมดของที่ดินรวมกับสิ่งปลูกสร้าง วิธีการคำนวณภาระภาษีในแต่ละกรณี

กรณีที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ภาระภาษี = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษี ทั้งนี้กำหนดให้ มูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน

กรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาระภาษี = (มูลค่าที่ดิน + มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษี ทั้งนี้กำหนดให้มูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) – ค่าเสื่อมราคา

กรณีห้องชุด ภาระภาษี = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษี ทั้งนี้กำหนดให้ มูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.)

*อย่างไรก็ตาม กรมธนารักษ์จะเป็นผู้กำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด และอัตราค่าเสื่อมราคา

การหักค่าเสื่อมราคาของสิ่งปลูกสร้าง มีรายละเอียด ดังนี้

1) ประเภทสิ่งปลูกสร้าง ปีที่ 1-10 หักค่าเสื่อมร้อยละ 1 ต่อปี, ปีที่ 11–42 หักค่าเสื่อมร้อยละ 2 ต่อปี, ปีที่ 43 เป็นต้นไป หักค่าเสื่อมร้อยละ 76 ตลอดอายุการใช้งาน

2) ตึกครึ่งไม้ ปีที่ 1–5 หักค่าเสื่อมร้อยละ 2 ต่อปี,  ปีที่ 6–15 หักค่าเสื่อมร้อยละ 4 ต่อปี, ปีที่ 16–21 หักค่าเสื่อมร้อยละ 5 ต่อปี, ปีที่ 22 เป็นต้นไป หักค่าเสื่อมร้อยละ 85 ตลอดอายุการใช้งาน

3) ประเภทสิ่งปลูกสร้าง ปีที่ 1–5 หักค่าเสื่อมร้อยละ 3 ต่อปี, ปีที่ 6–15 หักค่าเสื่อมร้อยละ 5 ต่อปี, ปีที่ 16–18 หักค่าเสื่อมร้อยละ 7 ต่อปี, ปีที่ 19 เป็นต้นไป หักค่าเสื่อมร้อยละ 93 ตลอดอายุการใช้งาน

การกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

โดยจะแบ่งอัตราตามลักษณะการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างดังนี้

1) เกษตรกรรม อัตราเพดานร้อยละ 0.2, 2) ที่อยู่อาศัย ร้อยละ 0.5, 3) อื่นๆ (เช่น พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม) ร้อยละ 2, 4) ที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพที่ดิน ร้อยละ 5
สำหรับอัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริงจะกำหนดโดยรัฐบาล และออกเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยอัตราภาษีที่จัดเก็บจริงจะกำหนดไว้ ดังนี้ 1) ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทเกษตรกรรม และบ้านพักอาศัยหลังหลัก เพื่อเป็นการลดภาระให้แก่เกษตรกรและเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีบ้านอยู่อาศัยเป็นของตนเอง จึงกำหนดอัตราภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทเกษตรกรรม และบ้านพักอาศัยหลังหลัก ดังนี้ หากไม่เกิน 50 ล้านบาท จะยกเว้นภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง, หากเกินกว่า 50 ล้านบาท ไม่เกิน 100 ล้านบาท จะถูกเรียกเก็บร้อยละ 0.05 และหากเกินกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป จะถูกเรียกร้อยละ 0.10

2) ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทบ้านพักอาศัยหลังที่ 2 ในส่วนของผู้ที่เป็นเจ้าของที่พักอาศัยหลายหลัง จะต้องเสียภาษีสำหรับที่พักอาศัยหลังอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้เป็นบ้านพักอาศัยหลังหลักในอัตรา ดังนี้ มูลค่าทรัพย์สิน ไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.03, เกินกว่า 5 ล้าน ไม่เกิน 10 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.05, เกินกว่า 10 ล้าน ไม่เกิน 20 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.10, เกินกว่า 20 ล้าน ไม่เกิน 30 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง 0.15, เกินกว่า 30 ล้าน ไม่เกิน 50 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.20, เกินกว่า 50 ล้าน ไม่เกิน 100 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.25 และสุดท้าย เกินกว่า 100 ล้านบาทขึ้นไป อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.30

3) ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทอื่น ๆ สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกเหนือไปจากใช้เพื่อการเกษตรและพักอาศัย กฎหมายกำหนดให้เสียภาษีในอัตรา ดังนี้ มูลค่าทรัพย์สินไม่เกิน 20 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.3 มูลค่าทรัพย์สิน 20 ล้าน แต่ไม่เกิน 50 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.5, มูลค่าทรัพย์สินเกิน 50 ล้าน แต่ไม่เกิน 100 ล้าน อัตราภาษีที่ใช้จัดเก็บจริง ร้อยละ 0.7 หากเป็นมูลค่าทรัพย์สินเกิน 100 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 1,000 ล้าน ถูกเรียกอัตราภาษี ร้อยะ 0.9 หากเป็นมูลค่าทรัพย์สิน 1,000 ล้าน แต่ไม่เกิน 3,000 ล้าน ถูกเรียกเก็บภาษี ร้อยละ 1.2 และเกินกว่า 3,000 ล้านบาทขึ้นไป ถูกเรียกเก็บ ร้อยละ 1.5

การบรรเทาภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
กฎหมายให้อำนาจทั้งรัฐบาลและผู้บริหารท้องถิ่นในการบรรเทาภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) การบรรเทาภาระภาษีโดยรัฐบาล รัฐบาลสามารถตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อบรรเทาภาระภาษี โดยมีมาตรการ ดังนี้
(1) ลดภาษีให้ไม่เกินร้อยละ 75 ของภาระภาษีที่ต้องเสีย สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เช่น บ้านพักอาศัยหลักซึ่งได้กรรมสิทธิ์มาจากการรับมรดกก่อนที่พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบังคับใช้ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับกิจการสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล และโรงเรียน เป็นต้น
(2) ลดอัตราภาษีให้กับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท เช่น ลดอัตราภาษีให้กับที่ดินที่เจ้าของ ซื้อมาเพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัยของตนเองเป็นเวลา 1 ปี และที่ดินที่นิติบุคคลที่ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาเพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่พักอาศัยเพื่อขายเป็นเวลา 3 ปี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่เป็นของตนเอง เป็นต้น

2) การลดและยกเว้นภาษี โดยผู้บริหารท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามารถทำได้ในกรณีต่อไปนี้
(1) กรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายมากหรือถูกทำลายให้เสื่อมสภาพด้วยเหตุอันพ้นวิสัยที่จะป้องกันได้โดยทั่วไป เช่น ภัยพิบัติเป็นต้น
(2) กรณีที่มีเหตุอันทำให้ที่ดินได้รับความเสียหายหรือ ทำให้สิ่งปลูกสร้างถูกรื้อถอนหรือทำลาย หรือชำรุดเสียหายจนเป็นเหตุให้ต้องทำการซ่อมแซมในส่วนสำคัญ เช่น ไฟไหม้ เป็นต้น



วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

เงินบริจาคเข้ามูลนิธิที่คุณบิณฑ์สังกัด สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคได้

ร่วมช่วยเหลือภัยน้ำท่วมกับคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผ่านการบริจาคเข้ามูลนิธิร่วมกตัญญู (คุณบิณฑ์สังกัด) สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนได้



การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วม หรือเหตุร้ายต่างๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่งดงามและเป็นบุญแก่ผู้ให้นั้นเอง วันนี้แอดมินสถาบันคัสเม่ จึงขอนำเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้ คือเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดใกล้เคียง และการก้าวเข้ามาช่วยเหลือครั้งใหญ่ อีก 1 ครั้งจากหลายๆครั้ง (เช่น เหตุการณ์หมูป่า 13 ชีวิต) โดยคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ในตอนนี้ พี่น้องชาวไทยจำนวนมากต่างเทใจ และมอบความศรัทธาให้กับคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ อย่างเต็มเปี่ยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และจากข่าวล่าสุด ที่ยอดเงินบริจาคได้พุ่งทะลุเกิน 200 ล้านบาทแล้วนั้น (จากการเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท โดยเงินของคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์) นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีครั้งใหญ่ และพลังจากน้ำใจอันมหาศาล จากเราชาวไทยอีกหนึ่งครั้ง

ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า #เราคนไทยไม่ทิ้งกัน (แอดนึกถึงคำว่า Hooyah!จังค่ะ)

แอดเชื่อว่า หลายท่านในที่นี้ได้ร่วมบริจาคสมทบทุนเข้าช่วยเหลือเพื่อนผู้ประสบภัย และอย่าลืมนะคะ หลังจากที่ท่านได้ร่วมบริจาคผ่านมูลนิธิ เช่น มูลนิธิที่คุณบิณฑ์สังกัดในตำแหน่งผจก.ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ มูลนิธิร่วมกตัญญูแล้วนั้น อย่าลืมเก็บใบเสร็จรับเงินบริจาค หรือใบอนุโมทนาบัตรเอาไว้ด้วยค่ะ

เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นำหลักฐานดังกล่าวไปใช้สิทธิประโยชน์ นั่นคือสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค อย่างน้อย เราสามารถเป็นอีกหนึ่งพลังที่ร่วมช่วยป้องกันเหตุมิจฉาชีพสวมบัญชีปลอมรับเงินบริจาค เช่นตัวอย่างจากข่าวนี้ค่ะ https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_2896472

ท่านสามารถตรวจสอบรายชื่อมูลนิธิ ที่มีสิทธิขอหักลดหย่อนได้ที่นี่ http://www.rd.go.th/publish/29157.0.html

#หลักฐานที่ควรขอเก็บไว้ เพื่อการนำมาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี(ลดหย่อนภาษี)
-ใบเสร็จรับเงินบริจาค
-ใบอนุโมทนาบัตร
-โดยระบุชื่อผู้บริจาคชัดเจน ตรงกับชื่อ-นามสกุลของผู้เสียภาษี

สถาบันคัสเม่ ขอส่งแรงใจให้ทุกท่านที่กำลังประสบภัย ไม่ว่าจะมาจากเหตุการณ์น้ำท่วม หรือใดๆ มีพลังลุกขึ้นสู้ กันต่อไปค่ะ


KASME
www.kasmethai.com

ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% #ส่อเค้าวืด

"ไม่มีอะไร ได้มาฟรีๆ"

Update TAX NEWS กันเย็นวันนี้ กับกรณีที่มาตรการลดภาษีมนุษย์เงินเดือน 10% เริ่มส่อเค้าวืดค่ะ



จากการรายงานข่าว Thaipost.net เมื่อวันที่ 16 กันยายน 62 นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ได้เปิดเผยว่าคณะกรรมการปฏิรูปโครงสร้างภาษีได้มีการประชุมนัดแรกไปเรียบร้อยแล้ว และได้ให้แต่ละหน่วยงานดูรายละเอียดแนวทางการเก็บภาษีในปัจจุบันเพื่อความทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและของโลก

โดยนายประสงค์กล่าวว่า ในส่วนของแนวทางการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ตามนโยบายหาเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ต้องมีการศึกษาภาพรวม และคงไม่สามารถสรุปได้ทันภายในปีนี้

เนื่องจากประเทศไทยต้องการมีสวัสดิการที่ดี แต่ต้องการเสียภาษีน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่สวนทางกับประเทศที่พัฒนาแล้ว

ทั้งนี้ สำหรับการลดภาษี ต้องพิจารณาให้คนรายได้น้อย และรายได้ปานกลางให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่เป็นการลดภาษีแล้วช่วยคนรวย หรือเศรษฐีได้ประโยชน์มากกว่า โดยต้องดูว่าหากมีการลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดา คนรายได้น้อยจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ เพราะปกติคนรายได้น้อยไม่เสียภาษีอยู่แล้ว

ดังนั้นก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย แต่กลับเป็นประโยชน์ให้กับคนที่เสียภาษีมาก เพื่อให้เสียได้น้อยลง

“การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% เป็นไปได้ แต่ต้องมองภาพรวม ต้องดูว่าลด 10% แบบไหน หากมีการลดจริง ที่เคยได้รับการยกเว้นก็จะไม่ได้รับการยกเว้น ที่ไม่เคยเสียภาษีก็ต้องมาเสียภาษี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะลดภาษีแล้วไม่มีภาษีตัวอื่นมาชดเชยรายได้ของประเทศที่หายไป #ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ” นายประสงค์ กล่าว

ที่มา: Thaipost.net


วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

เตรียมพร้อมกับมาตรการ “ชิมช้อปใช้” เริ่ม 27 กันยายนนี้ 😎🌴

พร้อมกันหรือยัง? กับมาตรการ “ชิมช้อปใช้” เริ่ม 27 กันยายนนี้ 😎🌴

👉ทั้งนี้มีข้อสรุปปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม จากมติคณะรัฐมนตรี มีดังนี้คือ

1. ประชาชนสัญชาติไทยที่สนใจลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เพื่อเข้าร่วมมาตรการ ระบุจังหวัดที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว #ซึ่งต้องไม่ใช่จังหวัดที่ระบุในทะเบียนบ้าน และต้องลงทะเบียนก่อนเดินทางท่องเที่ยวตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด (แก้ไขจากเดิมที่ใช้จังหวัดในบัตรประชาชน) เพื่อให้สอดคล้องกับการตรวจสอบข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย

2. ผู้ลงทะเบียนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 2 ส่วน เพื่อใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวในจังหวัดที่เลือก ดังนี้
🚩รัฐบาลสนับสนุนวงเงินเพื่อเป็นสิทธิ์ในการซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ จำนวน 1,000 บาทต่อคน
🚩กรณีที่ผู้ลงทะเบียนเติมเงินเพื่อใช้จ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พักรวมถึงบริการต่าง ๆ ตามปกติของที่พักนั้น ค่าซื้อสินค้าท้องถิ่น ค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในท้องถิ่นนั้น เช่น สปา การเช่าพาหนะ ค่าบริการนำเที่ยวในพื้นที่ เป็นต้น จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการ รัฐบาลจะสนับสนุนเงินชดเชยเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 15 ของยอดเงินชำระเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน (วงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน)
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะถูกประชาสัมพันธ์ถึงความชัดเจน วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องจากทางภาครัฐต่อไป #ขาเที่ยวเตรียมเกาะติดสถานการณ์ค่ะ


ที่มา: Thaitiger.com

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2562

สรรพากรกุมขมับกับแผนปรับโครงสร้างภาษีชุดใหญ่สนองภาครัฐ

สรรพากรกุมขมับกับแผนปรับโครงสร้างภาษีชุดใหญ่สนองภาครัฐ

#แหล่งข่าวอ้างอิง: sanook.com

สรรพากรถึงขั้นกุมขมับ เมื่อรับแผนจาก นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำหรับการศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อเตรียมปรับโครงสร้างภาษีชุดใหญ่ สนองนโยบายการปฏิรูปภาษีที่พรรคพลังประชารัฐเคยหาเสียงไว้ เช่น

>> การลดภาษีผู้ค้าออนไลน 2 ปี
>> ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเด็กจบใหม่ 5 ปี
>> การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10%

โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขไม่ให้ส่งผลกระทบต่อฐานะการคลัง ซึ่งมีการประชุมนัดแรกในวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา



โดยทั้งนี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้กล่าวถึงกรณีลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% นั้นเป็นเรื่องที่ตอบยากมาก และยังไม่ชัดเจนว่าจะคิดจากฐานอะไร

ซึ่งการลดภาษีจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังอย่างแน่นอน และยังสร้างความเหลื่อมล้ำให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลปัจจุบัน พบว่า มีผู้ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 10.7 ล้านคน และในจำนวนนี้ มีเพียง 4 ล้านคนเท่านั้นซึ่งในส่วนนี้เป็นคนที่มีรายได้สูงสุดของประเทศ โดยคิดเป็น 3% ของรายได้จากภาษีบุคคลธรรมดา 72% ที่เก็บได้ปีละ 4 แสนล้านบาท หรือ 17% ของรายได้ทั้งหมด

โดยการจัดเก็บภาษีในช่วงเดือน ตุลาคม 61 - กรกฎาคม 62 (10 เดือนของปีงบประมาณ 2562) กรมสรรพากร จัดเก็บภาษีได้เกินเป้า 4.8 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกผันผวน จึงได้สั่งการให้กรมสรรพากรวางแผนการจัดเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2563 ที่วงเงิน 2.11 ล้านล้านบาท

"เพื่อให้ประเทศมีเงินเพียงพอที่จะรองรับการลงทุน"

และยังได้สั่งการให้กรมสรรพากรเดินหน้า จัดเก็บภาษี-บิสสิเนส ซึ่งกระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนเดินหน้ากฏหมายดังกล่าว เพราะจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ของประเทศ ช่วยขยายฐานภาษีให้มากขึ้น

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562

แบ่งที่ดินให้เมีย ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่?

เรื่องเล่าใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่ง

พ่อกระท้อนกับแม่มะลิ เพิ่งจดทะเบียนสมรสและรักกันมาก ดังข้าวใหม่ปลามัน ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้...เป็นไม้

อยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความรักของพ่อกระท้อน และด้วยที่พ่อกระท้อนเพิ่งได้รับมรดกที่ดินจากมารดา ซึ่งยกให้อยู่หลายสิบไร่ หลังแต่งงาน...

ก็เลยคิด.. อยากจะแบ่งให้ภรรยาสาวสุดที่รัก ให้ได้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันบนแผ่นดินสีชมพู แห่งนี้...

แม่มะลิก็ไม่ปฏิเสธความรักของพ่อกระท้อน เมื่อพี่ให้มา น้องก็ต้อง(รีบ)รับไว้สิคะ

เวลาผ่านไป จนอยู่มาวันหนึ่ง... มีจดหมายน้อยฉบับหนึ่งถูกเสียบอยู่หน้าบ้าน พ่อกระท้อนเห็นก็ค่อยๆ พลิกหลังซองดูชื่อผู้ส่ง ใครส่งมานะ

เอ๊ะ จากสรรพากร?
.
.
.

ทายซิในนั้นมีข้อความอะไร เรามาดูพร้อมกันจ้ะ

เรียน พ่อกระท้อน

โปรดดำเนินการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายที่ดินให้แก่แม่มะลิ ด่วน

(what?)

อย่าเพิ่งตกใจ อันเนื่องมาจากสำนักงานสรรพากรภาค เห็นว่า พ่อกระท้อนได้ที่ดินจากการที่มารดายกให้ในระหว่างสมรส ซึ่งถือเป็นสินส่วนตัว (ตามมาตรา 1471(3) แห่งประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์)

การที่พ่อกระท้อน ยินยอมให้ใส่ชื่อแม่มะลิ ให้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดิน จึงถือเป็นการยกให้ในส่วนของตนครึ่งหนึ่ง ถือเป็นการขายตามมาตรา 91/1(4) แห่งประมวลรัษฎากร #เมื่อได้กระทำภายใน 5 ปี นับแต่วันที่แม่ยกให้มา เข้าข่ายเป็นการขายอสังหาฯที่เป็นทางค้าหรือหากำไร ตามมาตรา 3(6) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ(ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534

อยู่ในบังคับ #ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2(6) แห่งประมวลรัษฎากร

และถ้าพ่อกระท้อน ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40) ล่าช้า

จะต้องเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งในเดือนภาษี ตามมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบด้วยมาตรา 89(2) แห่งประมวลรัษฎากร

พ่อกระท้อนก็อย่าลืมยื่นแบบ ภ.ธ.40 ภายในกำหนดเวลาด้วยนะ

ด้วยรัก
สรรพากร

อ้างอิง: ข้อหารือภาษีอากร เลขที่หนังสือ กค 0811/8716




KASME
The Institute of Effective Training for SMEs|CPA|CPD

ระยอง ชลบุรี กรุงเทพ