ภาษี
กับ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ดำริ ดวงนภา (Tax Auditor)
บทความ
นี้
มีวัตถุประสงค์ ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงผลกระทบทางภาษีอากร เศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุน จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(Asian Economic Community : AEC)
ซึ่งประเทศสมาขิก ได้ลงนามในปฏิญญาตกลง ให้เป็นประชาคมเดียวกัน
โดยมีผลในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 นี้ ผลจากการเปิดเสรี มีประเด็นที่ผู้ประกอบการไทย ควรต้องเตรียมพร้อม
เพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และเตรียมตัว ให้แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
ในขณะที่รัฐบาลก็จำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษีให้เหมาะสมและทันสมัย ซึ่งได้วิเคราะห์ปัญหา และแนวทางแก้ไขไว้
ในส่วนท้ายของบทความ
กล่าวได้ว่า
การลดอัตราการจัดเก็บ ภาษีเงินได้นิติบุคคลของรัฐบาลไทยที่ผ่านมา(เป็นการลดชั่วคราว)
จากอัตรา 30
% ให้เหลือ 23 % ในปีภาษี 2555 และ เหลือ 20 % ในปีภาษี 2556-2557-2558 นับเป็น มาตรการทางการคลัง มาตรการหนึ่ง
ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มแรงจูงใจการลงทุน
จากนักลงทุนต่างประเทศ
ถือเป็นนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลในการเตรียมความพร้อมในการรับมือ ก่อนการเปิดเสรี AEC ในสิ้นปี 2558 ที่จะถึงนี้
โดยที่ เป้าหมายของ AEC มีความต้องการให้ประเทศในกลุ่มอาเซียน เป็นตลาดเดียว และ เป็นฐานการผลิตเดียว(Single
Market & Single Production) ทั้งนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับตลาดโลก วิธีการก็คือ ให้แต่ละประเทศ ( 10
ประเทศ) * ในกลุ่มประชาคมอาเซียน
มีการเปิดเสรีด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และแรงงาน
ให้มีการย้ายปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ได้โดยเสรี
กระแสของการเปิดเสรี หรือ กระแสโลกาภิวัฒน์ ของการเคลื่อนย้ายทุน แรงงาน
การค้าเสรี เช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อ โครงสร้างรายได้ภาษี ของแต่ละประเทศ จากการศึกษาผลกระทบของ AEC ต่อโครงสร้างการจัดเก็บภาษี ของนักวิชาการภาษีอากร พบว่า เมื่อเปิดเสรี AEC จะทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้
ของแต่ละประเทศจะมีข้อจำกัดมากขึ้น
การกำหนดนโยบายภาษีไม่อาจกำหนดได้โดยเพียงการพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานภายในประเทศของตนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
แต่ทุกประเทศ จำเป็นต้องพิจารณาทุกประเภทภาษีของตนเอง
เปรียบเทียบกับภาษีของประเทศต่าง ๆ ในกลุ่ม AEC เพื่อการกำหนดนโยบายภาษีที่เหมาะสมและสอดคล้อง
ต่อการแข่งขัน เช่น (ตารางที่ : 1)
จากตารางที่ 1 จะพบว่า ทิศทางอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มลดลง
และเมื่อเปิดเสรี AEC การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
ก็จะเพิ่มมากขึ้น แต่ละประเทศก็อาจจะมีการปรับลดอัตราภาษีลงได้อีก
หรือ ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอื่น ๆ
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
ดังกรณี ที่ไทยได้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงจากเดิม 30%เป็น
23% ในปี 2555 และ 20% ในปี 2556 นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในการปรับปรุงเพื่อลดอุปสรรคและเพิ่มโอกาส
ในการแข่งขัน เพราะเมื่อพิจารณา จากตาราง 1 อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเดิมของไทย
เป็นอัตราที่สูง และใช้มาเป็นเวลานาน โดยไม่มีการปรับลดลง เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนาม
มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่มีขนาดเศรษฐกิจและศักยภาพ ใกล้เคียงกับประเทศไทย
ดังนั้นผลจากการเปิดเสรี AEC จึงทำให้ประเทศไทยไม่สามารถ คงอัตราภาษีในอัตราเดิมนี้ไว้ได้
เนื่องจากไม่สามารถที่จะแข่งขันได้
ดังได้กล่าวในเบื้องต้นว่า การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีผลกระทบทางตรง
ต่อโครงสร้างการจัดเก็บภาษี ของไทย ในหลายๆ ด้านด้วยกัน
โครงสร้างการจัดเก็บภาษีในที่นี้ หมายความรวมถึง กฎหมายภาษี ประเภทภาษี อัตราภาษี
และนโยบายการบริหารการจัดเก็บภาษี เช่นเมื่อเปิดเสรี AEC
ภาษีเงินได้มีแนวโน้มจะจัดเก็บได้ยากขึ้น
และจำนวนเงินภาษีมีทิศทางลดลง เนื่องจากฐานภาษีเงินได้มีการเคลื่อนย้ายกันง่ายขึ้น และ มีการแข่งขันเพื่อจูงใจในการลงทุน โดยการลดอัตราภาษีลง ตัวอย่างเช่น กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล ของประเทศ
A สูงกว่าภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศ
B นักลงทุนในประเทศ A ก็พร้อมที่ย้ายทุนและ
สถานประกอบการ จากประเทศ A ไปอยู่ที่ประเทศ B ได้ทันที ในทำนองเดียวกัน กรณีที่
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศ C เก็บภาษีในอัตราที่สูงมาก
เมื่อเทียบกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศ D ปรากฏการ สมองไหล (Brain Drain) ของแรงงานที่มีฝีมือ(Skilled
Labor) * ก็จะเกิดขึ้น
ได้แก่ แรงงานใน 7 สาขาวิชาชีพภายใต้ข้อตกลงการยอมรับร่วม(Mutual
Recognition Agreement- MRA) คือ จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือจากประเทศ C
ไปอยู่และทำงานที่ประเทศ D เหลืออยู่ในประเทศในส่วนของแรงงานไม่มีฝีมือ
ที่มีข้อจำกัดในการโยกย้ายเท่านั้น
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
www.kasmethai.com
www.facebook.com/kasmeco
www.facebook.com/kasme.thai
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น