เงินเฟ้อกับค่าครองชีพ
By Michelle Ullman (Investopedia)
แปล &
เรียบเรียงโดย สถาบันคัสเม่
คุณอาจคิดว่า
ทำไมรายได้ที่คุณได้รับ หรือเงินที่คุณมีอยู่ มีมากมายเพียงใด มันก็ไม่เพียงพอกับราคาค่าสินค้าที่
“ดูเหมือน” เพิ่มขึ้น และ เพิ่มขึ้น ทุกๆปี
************ ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ ท่านสามารถ Share บทความจากเราได้ค่ะ ************
เงินเฟ้อกับค่าครองชีพ
By Michelle Ullman (Investopedia)
แปล & เรียบเรียงโดย สถาบันคัสเม่
คุณอาจคิดว่า ทำไมรายได้ที่คุณได้รับ หรือเงินที่คุณมีอยู่ มีมากมายเพียงใด มันก็ไม่เพียงพอกับราคาค่าสินค้าที่ “ดูเหมือน” เพิ่มขึ้น และ เพิ่มขึ้น ทุกๆปี
คุณอาจคิดว่า ... ฉันคิดไปเอง
ในความเป็นจริงนั้น เราอยากจะบอกคุณว่า “คุณคิดถูกแล้ว”
ในทุกๆปี
ราคาสินค้าและบริการ จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3% ซึ่งราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นนั้น
ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “เงินเฟ้อ”
ในประเทศไทยเรามีอัตราค่าเฉลี่ยเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% นั่นหมายถึงถ้าคุณยังคงมีรายได้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีการแสวงหารายได้เพิ่มเติม หรือไม่มีการวางแผนทางการเงิน การออม
ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับคุณได้ อย่างน้อยปีละ 3%
นั่นก็หมายถึง
ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย จากเงินที่มีอยู่
กำลังลดลงไปเรื่อยๆ
ความแตกต่างระหว่างเงินเฟ้อ
กับค่าครองชีพ
แน่นอนว่าหลายท่านเคยได้ยินกับคำว่า
“ค่าครองชีพ” และ “เงินเฟ้อ”
ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจนแทบแยกออกจากกันไม่ได้ เงินเฟ้อนั้น
คือภาพใหญ่ของค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออำนาจการซื้อของผู้บริโภคโดยตรง
อัตราเงินเฟ้อ มักถูกวัดโดย
ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ Consumer Price Index (CPI) เป็นการวัดค่าที่แสดงราคาสินค้าและบริการเป็นหมวดหมู่ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ
โดยมักจะแสดงผลให้เห็นถึงเปอร์เซนต์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
สำหรับค่าครองชีพ
นั้นจะชี้ให้เห็นถึงภาพที่ลึกขึ้น
ตัวเลขจากค่าเฉลี่ยของค่าครองชีพจะแสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐาน
ซึ่งรวมถึงอาหาร ที่อยู่อาศัย การเดินทาง ภาษี และ ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพ
ค่าครองชีพมักถูกใช้เพื่อเปรียบเทียบความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน
ระดับทางสังคมในแต่ละส่วนภูมิภาค ทั่วประเทศ หรือ ทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณมีรายได้ 50,000 ดอลล่าร์ต่อปีและพำนักอาศัยอยู่ใน New York
คุณสามารถใช้ชีวิตใน Chapel Hill, North Carolina เฉกเช่นเดียวกันกับที่คุณอยู่อาศัยใน New York ได้โดยมีรายได้เพียงครึ่งเดียวจากที่คุณได้รับใน
New York
นั่นแสดงให้เห็นถึงค่าครองชีพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ระหว่างสองเมืองในสหรัฐอเมริกา New
York และ Chapel
Hill
เช่นเดียวกันกับในประเทศไทย
ค่าครองชีพระหว่างผู้ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร กับต่างจังหวัด
ย่อมมีความแตกต่างกัน โดยผันแปรไปตามระดับรายได้
ค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อสินค้าและค่าบริการ และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น
จะส่งผลกระทบกับใคร
ไม่ยากนักที่คนส่วนใหญ่จะรู้สึกได้ถึงการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการนั้นจะส่งผลกระทบค่อนข้างมากกับผู้คนที่มีฐานะยากจนถึงคนระดับชนชั้นกลาง
ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่เพิ่มสูงขึ้นส่งให้ผู้คนมีเงินออม
เงินเก็บที่ลดลง และเมื่อไหร่ที่ค่าใช้จ่ายในแต่ละด้านเพิ่ม
ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่ายให้น้อยลง
และพยายามที่จะหาซื้อสินค้าและบริการในราคาที่ย่อมเยาว์
เพื่อช่วยให้ตนเองสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อได้
และมันจะยิ่งส่งผลกระทบหนักมากขึ้นต่อผู้บริโภคที่มีรายได้
หรือเงินออม
ที่มีเกณฑ์ได้รับรายได้หรือมีอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยจากการออมของตนเท่าเดิมหรือลดลง
สวนทางกับการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพหรืออัตราเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อ
ส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างไร
เราสามารถคาดเดาได้ว่า
เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของราคา บ้าน คอนโด
และอสังหาริมทรัพย์ชนิดต่างๆ และนำพาไปจุดที่ “ซับซ้อน” มากยิ่งขึ้น
ในสหรัฐอเมริกา
การควบคุมอัตราเงินเฟ้อจึงเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
(Federal Open Market Committee: FOMC) เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของอัตราเงินกองทุนของรัฐบาลกลาง
นั่นก็คืออัตราดอกเบี้ยที่จะเก็บจากสถาบันการเงินที่ได้เข้ามาหยิบยืมจากธนาคารกลาง
เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้นทุนด้านสินเชื่ออสังหาฯเพิ่มขึ้น
ผู้ซื้อจำนวนมากมักจะดึงตัวเองออกมาจากตลาดอสังหาฯ ส่งผลให้ยอดขาย เช่น บ้าน และ คอนโด
ลดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อไหร่ก็ตามที่อสังหาชนิดนั้นๆได้ถูกประกาศขายในตลาดเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
ผู้ขายมักมีแนวโน้มที่จะบอกราคาขายให้กับทางด้านผู้ที่สนใจซื้อ ในราคาที่ลดลง
ด้วยเหตุนี้ จึงชี้ให้เห็นได้ว่าการ
“ลด” อัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ สามารถช่วยได้ในการตกต่ำของตลาดอสังหาฯ
ให้ฟื้นคืนกลับมาได้
อันเนื่องมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยส่งผลโดยตรงกับต้นทุนด้านสินเชื่อที่ลดลง
ดึงให้ผู้ซื้อที่ดันตัวเองออกจากตลาดกลับเข้ามาได้
หรือสร้างลูกค้ารายใหม่ให้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น
สรุป
เมื่อใดที่คุณพบว่าราคาค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้นนั้น
“สวนทาง” กับรายได้ เงินออม เงินลงทุน ที่คุณมีอยู่
เมื่อนั้นความยากลำบากในการจับจ่ายใช้สอยของคุณ
มีแนวโน้มกำลังก่อตัวขึ้น ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการนั้น
เกิดขึ้นทุกวัน ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นที่คุณควรเริ่มมองภาพการใช้ชีวิตของคุณในอนาคต
เริ่มวางแผนทางการเงินของคุณในระยะยาว การไม่มีเงินออมนั้น ถือว่าคุณยังคงอยู่ในจุดที่
“อันตราย” สำหรับการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐาน ในอนาคตของคุณ
พร้อมหรือยังที่จะเริ่มวางแผนทางการเงิน กับเราวันนี้ ?
สัมมนาพร้อม Work Shop ปฏิบัติการการวางแผนทางการเงิน
การออม การลงทุน การทำความเข้าใจกับ Passive
Income การเกษียณอย่างมีความสุข และสิ่งสำคัญนั้นคือการใช้ชีวิตและแนวคิด
อันนำไปสู่ “อิสรภาพทางการเงิน”
เพิ่มความรู้และศักยภาพทางด้านการเงินของคุณ
เตรียมพร้อมวางแผนการเงินเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น
เปิดประตูสู่ความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงินไปด้วยกัน ในวันที่ 5 พ.ย.2559 พบกับ
คุณมิตรทอง ชูลิตะวงศ์ ผู้เขียน “ลุยธุรกิจ” “สอนหุ้นฯ”
และประสบการณ์ด้านการเงินและการลงทุนอีกมากมาย
สำรองที่นั่งวันนี้ทาง
(038) 872-046
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น